Archive 2019

หากเป็นนิ้วล็อก ควรทำอย่างไร ?

หากเป็นนิ้วล็อก ควรทำอย่างไร ?
หากคุณมีอาการนิ้วล็อกไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ จะต้องรีบเข้ารับการรักษาจากแพทย์ทันที และรักษาอย่างจริงจังจนกว่าจะหายดี โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
• เมื่อมีอาการนิ้วล็อค สิ่งที่ควรทำคือ พบแพทย์ทันที ไม่ควรขยับนิ้วหรือดีดนิ้วที่เป็นนิ้วล็อกเล่นอาจทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากขึ้นได้

• ถ้ามีอาการข้อผิดกำไม่ถนัดตอนเช้าควรแช่น้ำอุ่นจัดๆ และบริหารโดยการขยับมือกำแบเบาๆ ในน้ำ เพื่อคลายกล้ามเนื้อให้มากจะทำให้นิ้วมือเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น

• เมื่อต้องกำหรือจับสิ่งของแน่น ๆ เช่น ไม้กอล์ฟ ตะหลิวผัดกับข้าว ควรใช้ผ้าหรือฟองน้ำพันรอบ ๆ หรือใช้ถุงมือจับจะช่วยลดแรงกดหรือเสียดสีลง

การรักษาอาการนิ้วล็อก
แพทย์จะให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค ดังนี้
– ระยะแรกให้รับประทานยาต้านอักเสบ (แบบไม่มีสเตียรอยด์) เพื่อบรรเทาปวดและลดการอักเสบ
– ทำกายภาพ-บำบัด
– ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปที่เส้นเอ็นที่อักเสบ สำหรับผู้ที่มีอาการเริ่มแรกเป็นไม่หนักมาก
– ใช้เครื่องมือสะกิดพังผืดที่หนาตัวออกไป ในกรณีที่รักษาด้วยวิธีที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ไม่หาย การสะกิดพังผืดออกต้องฉีดยาชาเฉพาะที่ไม่ต้องเข้าห้องผ่าตัดจะมีแผลเป็นรูเล็กๆตรงตำแหน่งที่เจาะ
– ถ้ายังไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไขต่อไป

อาหารเสริมบำรุงตับที่ตับมีความต้องการสูง

ถ้าให้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับตับทุกคนย่อมทราบกันดีว่าตับเป็นอวัยวะที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ซึ่งตับจะมีลักษณะนุ่ม และจะมีลักษณะที่มีสีออกเป็นสีแดง

สำหรับตับส่วนใหญ่เราคาดว่าน่าจะมีน้ำหนักประมาณ 1.3 – 3 กิโลกรัม โดยสะส่วนใหญ่โดยปกติแล้วเรานั้นไม่รู้ว่าตับอยู่ส่วนไหนของร่างกายอย่างแน่ชัดกันแน่ เพราะเราไม่สามารถที่จะคลำได้

แต่อันที่จริงในทางการแพทย์ก็ได้แจ้งไว้ว่าตับของคนเราอยู่ตรงบริเวณ ชายโครงขวาใต้กระดูกซี่โครง แต่ทว่าตับมีการโตขึ้นจะสามารถขยายออกได้ทั้งด้านข้าง ลงล่างหรือสามารถขึ้นบนก็ได้ ซึ่งอาจจะสังเกตได้จากคนที่เป็นโรคตับจะมีอาการจุกแบบตื้อๆ

 

เนื่องจากตับของเรามีหลอดเลือดที่สำคัญเพราะทำหน้าที่ผ่าน เข้า-ออก ทั้งหมด 3 ทาง นั้นก็คือ

Hepatic Portal Vein (หลอดเลือดดำพอร์ทัลตับ)

เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในระบบการไหลเวียนพอร์ทัลตับและเป็นระบบหลอดเลือดดำพอร์ทัลตับหนึ่งในสองของระบบในร่างกายส่วนอีกระบบนึงอยู่ที่ระบบไหลเวียนพอร์ทัลไฮโปไฟเซียลที่ต่อมใต้สมองเนื่องจากหลอดเลือดดำ จากลำไส้ เล็ก,ใหญ่ ได้นำสารอาหาร กลูโคสที่พึงผ่านกระบวนการย่อยหรือการดูดซึมส่งมายังตับของเราเพื่อกระบวนการต่อไปในการทำงานของตับเพื่อคัดแยกตามกรรมวิธีต่างๆ

 

Hepatic Artery

ซึ่งหลอดเลือดแดงจากหัวใจจะต้องนำพาเลือดแดงที่เต็มไปด้วยออกซิเจนที่มีจำนวนค่อนข้างมาก ส่งมาไว้ที่ตับเพื่อเลี้ยงเซลล์ตับเพื่อให้ทำงานต่อระบบต่อไป แต่ทว่าในขณะเดียวกันนั้นหลอดเลือดแดงก็นำเอา คาร์บอลไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสิ่งของที่ไม่มีประโยชน์เป็นของเสียจากตับ เพื่อนำไปส่งยังหลอดเลือดดำ กลับเข้าไปสู้หัวใจและปอดอีกด้วย

 

Hepatic Vein

เนื่องจากหลอดเลือดดำจากตับ จะต้องนำเข้าสู่หลอดเลือดดำของหัวใจ เพื่อต้องการให้ตับได้นำตาร์บอนไดออกไซด์น้ำตาลกลูโคสและสารอาหารต่างๆที่ร่างกายต้องการ รวมทั้งตับอ่อนเองก็ยังได้ช่วยส่ง อิซูลิน ส่งไปยันหัวใจ เพื่อที่จะให้หัวใจไปรับออกซิเจนก่อนจากนั้นหัวใจก็จึงจะแจกจ่ายออกซิเจนไปทั้วทุกเซลล์ให้แก่ระบบทุกระบบภายในร่างกายของเรา เป็นที่นำมาสู่ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายในกระบวนการอื่นๆ เราสามารถบำรุงตับด้วยวิธีใช้ อาหารเสริมบำรุงตับ หรือวิธีการออกกำลังกายเพื่อให้ตับของเราอยู่กับเรายาวนานขึ้น

ดื่มนมวัวทีไร ท้องเสียทุกทีหรือว่าคุณกำลัง…

ในปัจจุบันนี้อาจมีคนที่กำลังท้องเสียเพราะดื่มนม บางคนรู้ตัว แต่บางคนไม่รู้ตัว และถ้าคุณเป็นคนที่ดื่มนมทีไรท้องเสียตลอดคุณอาจจะกำลัง “แพ้นมวัว” อยู่นั่นเอง อาการแพ้นมวัวหรือที่อาจพูดได้อีกอย่างคือ กินนมวัวไม่ได้ กินแล้วจะรู้สึกไม่สบายตัวไม่สบายท้องมี ผื่น คันขึ้นตามตัว สาเหตุของผู้ที่ “กินนมวัวไม่ได้” นั้น มี 2 กลุ่มใหญ่คือ “แพ้โปรตีนในนมวัว” และ “การแพ้น้ำตาลแล็กโทสในนมวัว” เรามาดูกันดีกว่า ทั้ง 2 กลุ่มแตกต่างกันอย่างไร

สาเหตุของการแพ้นมวัว มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ

1. แพ้น้ำตาลแล็กโทสในนมวัว
ในนมวัวมีแร่ธาตุสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะแคลเซียม เหล็ก ไขมัน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต และอื่นๆ อีกมาก ทั้งนี้คาร์โบไฮเดรตในน้ำนมก็คือน้ำตาลแล็กโทส (Lactose) นั่นเอง การที่เราแพ้แล็กโทสเกิดจากการที่น้ำตาลแล็กโทสสามารถควบคุมปริมาณจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารให้เราขับถ่ายได้ดีขึ้น แต่ในกรณีคนที่แพ้น้ำตาลแล็กโทส คือร่างกายไม่สามารถสร้างเอนไซม์แล็กเตส (Lactase Enzyme) ที่มีความสำคัญในการย่อยน้ำตาลแล็กโทสในน้ำนม ให้กลายเป็นน้ำตาลกลูโคสและกาแล็กโทส ที่ร่างกายสามารถดูดซึมเข้าไปในผนังลำไส้ได้ เมื่อไม่มีเอนไซม์นี้ร่างกายด็ไม่สามารถย่อยได้จึงตกค้าง จุลินทรีย์ในทางเดินอาหารเลยเอาไปใช้แทน ทำให้เป็นกรด แก๊ส และท้องเสีย ซึ่งมักจะเกิดภายใน 30-120 นาที หลังดื่มนมเข้าไป หรือทานอาหารที่มีส่วนประกอบจากนม

2. แพ้โปรตีนในนมวัว
กลุ่มเดียวกับอาการแพ้อาหาร ในนมวัวจะมีโปรตีนที่เรียกว่า Beta-lactoglobulin หากดูดซึมเข้าร่างกายแล้ว ในบางรายจะมีอาการแพ้โปรตีน โดยลักษณะการแพ้ ก็จะคล้ายๆ กับโรคภูมิแพ้ทั่วไป สามารถแบ่งอาการได้ 2 ระดับ คือ แบบเฉียบพลัน อาการจะเกิดขึ้นภายใน 2 ชม. หลังดื่มนม โดยมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง คล้ายๆ กับลมพิษ มีอาการตาบวม ปากบวม อาเจียน ท้องเสีย น้ำมูกไหล ไอ หายไจอาจมีอาการท้องเสียหรืออาเจียนเฉียบพลัน หรือมีน้ำมูกไหล ไอ หรือหายใจมีเสียงวี๊ด อีกหนึ่งอาการ คือ แบบไม่เฉียบพลัน จะมีอาการเช่น อาเจียน ถ่ายเหลว หรือหายใจขัดไม่สะดวก มักเกิดขึ้นประมาณ 2 ชม. ไปแล้วหลังดื่มนม

ในคนที่แพ้นมวัว เมื่อนดื่มนมจะยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเพราะอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นตามมาแล้ว ยังทำให้โอกาสที่จะดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงลดลงด้วย เพราะหลายคนที่รู้ตัวและไม่อยากเสี่ยงกับอาการแพ้ จะเลิกดื่มนมวัวถาวร ทั้งที่ในปัจจุบันผู้ผลิตได้พัฒนาผลิตภัณฑ์นมให้เป็นนมที่ปราศจากแล็กโทสได้แล้วและมีวางจำหน่าย หรือจะเลือกดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่สามารถทดแทนแคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในนมวัวได้

อาหารที่คนเป็นเบาหวานอาจจะเข้าใจผิด

อาหารหวานจัด เป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคเบาหวานอย่างที่ใครหลายคนทราบกันดี แต่ไม่ใช่เพียงแค่อาหารรสหวานเท่านั้นที่เราควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน เพราะอาหารที่ไม่ได้มีรสหวานจัดก็อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เราได้เช่นกัน

อาหารเสี่ยง “เบาหวาน” ที่ “ไม่หวาน”

  • ข้าว อาหารประเภทเส้น
    หากยังไม่ลืมกัน แป้งและน้ำตาลจัดเป็นอาหารในหมวดหมู่คาร์โบไฮเดรต ดังนั้นข้าวที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้นี่แหละที่เป็นหนึ่งในตัวการเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ นอกจากข้าวแล้ว ยังรวมถึงเส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ เส้นราเมง อุด้ง โซบะ พาสต้า สปากเก็ตตี้ ฯลฯ ด้วย
  • ขนมปัง
    อาหารที่มีส่วนประกอบเป็นขนมปังต่างๆ ทั้งขนมปังสารพัดหน้า สารพัดไส้ในร้านเบเกอรี่ พาย ขนมปังในพิซซ่า และอาหารที่มีส่วนประกอบหลักเป็นแป้ง ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก ที่กินมากๆ สามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้
  • อาหารรสจัด
    อาหารไทยขึ้นชื่อว่ารสชาติจัดจ้าน และมีการเติมเครื่องปรุงกระหน่ำจนเราอาจจะกินกันจนคุ้นลิ้น แต่นอกจากอาหารที่มีรสหวานจัดๆ โดดเด่นกว่ารสอื่นๆ แล้ว อาหารรสจัดที่อาจจะมีรสอื่นนำ เช่น ส้มตำ ที่อาจจะมีรสเปี้ยว หรือเค็มนำ อาจจะเป็นอาหารที่แอบใส่น้ำตาลสูง แต่โดนรสชาติอื่นกลบจนเราคิดว่าอาจจะไม่ใช่อาหารที่เติมน้ำตาลมากก็ได้ ดังนั้นควรระมัดระวังอาหารที่มีรสจัดเอาไว้จะดีกว่า

ทำไมอาหารเหล่านี้ถึงเสี่ยงโรคเบาหวาน?
อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลระหว่างการย่อยอาหารในร่างกายเราได้ เพื่อดูดซึมนำไปใช้งาน นำไปเป็นพลังงานให้กับร่างกาย และหากเรากินมากเกินความจำเป็น ก็อาจมีน้ำตาลในร่างกาย หรือในเลือดสูงเกินไปจนทำให้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งกังวลใจไปจนไม่แตะต้องอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเลย เราไม่ได้ให้คุณงดข้าว งดอาหารประเภทเส้น หรืองดขนมปังโดยสิ้นเชิง เพียงแต่หากสามารถเลือกทานเป็นอาหารคาร์โบไฮเดรตประเภทเชิงซ้อนได้ ก็จะช่วยลดการย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลได้ช้าลง เพิ่มกากใยอาหารในร่างกายได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว โดยคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยากแนะนำ ได้แก่ ข้ามกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต เป็นต้น

“เนื้องอกในมดลูก”กับสัญญาณอันตรายที่ต้องระวัง

“เนื้องอกในมดลูก” นับว่าเป็นโรคที่ผู้หญิงหลายคนหวาดกลัว เพราะอาจเคยพบเห็น หรือได้ยินข่าวคราวจากเพื่อนรอบข้างว่าเป็นโรคนี้จนต้องเข้ารับการผ่าตัด และไม่สามารถระบุสาเหตุได้อย่างชัดเจนว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่หากเราทราบอาการเริ่มต้นของเนื้องอกในมดลูก เราจะสามารถสังเกตอาการของตัวเองได้เร็ว และรีบพบแพทย์ได้ทัน ก่อนที่อาหารจะลุกลาม และหนักกว่าเดิม

เนื้องอกในมดลูก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ ตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน ไปจนถึงช่วงอายุ 25-30 ปี โดยผู้หญิง 10 คน อาจจะอัลตร้าซาวนด์เจอเนื้องอกได้ 3-5 คน โดยขนาดเนื้องอกที่ตรวจพบมีขนาดตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่กี่มิลลิเมตร ไปจนถึงขนาดใหญ่หลายเซนติเมตร หรือขนาดใหญ่กว่ากำปั้น

สาเหตุของเนื้องอกในมดลูก
สาเหตุของอาการเนื้องอกในมดลูกไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด เพราะไม่ได้เกี่ยวกับการติดเชื้อโรคใด ๆ แต่อาจมีปัจจัยเสี่ยงมาจากกรรมพันธุ์ และการทำงานที่ผิดปกติของฮอร์โมนเพศหญิง เป็นต้น

สัญญาณอันตราย “เนื้องอกในมดลูก”

  1. คลำเจอก้อนที่บริเวณท้องน้อย
  2. มีประจำเดือนออกเยอะผิดปกติ เพราะเนื้องอกไปเบียดมดลูก
  3. ตรวจเจอภาวะมีบุตรยาก เพราะก้อนเนื้อเข้าไปขวางการฝังตัวของทารกในโพรงมดลูก
  4. ปวดปัสสาวะบ่อย หากพบก้อนเนื้องอกที่ยื่นออกมาด้านนอกมดลูก แล้วเข้าไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ

การรักษาอาการเนื้องอกในมดลูก
หากพบก้อนเนื้อขนาดเล็กราว 0.5-2 เซนติเมตร แพทย์อาจนัดพบเพื่อตรวจตามอาการไปเรื่อย ๆ ก่อน

แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยา อาจเป็นยาคุมกำเนิดที่ช่วยลดปริมาณประจำเดือน หรือยาฉีดบางตัวที่เป็นฮอร์โมนกดการทำงานของฮอร์โมนเพศ ช่วยทำให้ไม่มีประจำเดือน และก้อนเนื้องอกยุบลงได้

การใช้ยาอีกประเภทที่เพิ่งออกมาใหม่คือ เป็นยาที่ผ่าน อย. และองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ USFDA ให้การรับรองแล้วว่าสามารถกินเพื่อรักษาอาการของเนื้องอกในมดลูกได้

หากกินยาแล้วไม่ได้ผล หรือก้อนเนื้องอกมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แพทย์อาจทำการผ่าตัด โดยอาจผ่าตัดแบบเก็บมดลูกไว้ หรือเอามดลูกออกไปเลย และมีวิธีผ่าตัดทั้งแบบผ่าหน้าท้อง ส่องกล้อง หรือผ่าตัดทางช่องคลอด ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ที่ให้การรักษา

การป้องกันอาการเนื้องอกในมดลูก
แม้ว่าจะไม่มีวิธีป้องกันเนื้องอกในมดลูกที่แน่นอน 100% แต่เราสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ด้วยการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี โดยในระหว่างที่ตรวจ แพทย์จะทำการคลำท้องหาก้อนเนื้องอกในมดลูกด้วย

โรคหลอดเลือดสมองกับผู้หญิง

โรคหลอดเลือดสมองแตก ตีบ ตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือที่เรียกรวมๆ ว่า สโตรก (Stroke) นั้นเป็นสาเหตุของความพิการและการเสียชีวิตโดยเฉพาะในผู้หญิงเป็นอันดับต้นๆ และเนื่องจากผู้หญิงมีอายุยืนกว่าจึงได้รับความทรมานจากโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าผู้ชาย ซึ่งโรคหลอดเลือดสมองเกิดจากการที่หลอดเลือดที่พาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองอุดตัน ทำให้สมองขาดออกซิเจน และเกิดความเสียหาย ส่งผลกระทบต่อการพูดและการเคลื่อนไหวของร่างกาย อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในกรณีที่รุนแรง

อาการบอกโรค

อาการของโรคหลอดเลือดสมองมักเริ่มจากแขนขาอ่อนแรงหรือชาบริเวณใบหน้าซีกใดซีกหนึ่ง ตาข้างใดข้างหนึ่งพร่ามัวหรือมองไม่เห็น มีปัญหาด้านการพูดหรือการเข้าใจบทสนทนา ปวดศีรษะเฉียบพลันแบบไม่มีสาเหตุ รวมถึงอาการวิงเวียนหรือวูบแบบเฉียบพลัน เมื่อมีอาการดังกล่าวควรติดต่อแพทย์ฉุกเฉินทันที เพราะความแตกต่างระหว่างรายที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตกับรายที่มีอาการไม่รุนแรงนัก ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยถึงมือแพทย์ได้เร็วเพียงใดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“มีหลักฐานทางการแพทย์บ่งชัดเจนแล้วว่า เมื่อเป็นโรคหลอดเลือดในสมองอุดตันต้องรีบพบแพทย์โดยด่วนทันที ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”

ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองในผู้หญิง

  • ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
  • ไขมันในเลือดสูง
  • โรคหัวใจ อาทิ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หลอดเลือดหัวใจตีบ
  • เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบ (มีโอกาสในการเกิดโรคซ้ำ 10% ใน 1 ปีแรก)
  • สูบบุหรี่
  • น้ำหนักตัวเกิน
    – ผู้หญิงไม่ควรหนักเกิน 23 BMI (BMI = น้ำหนัก หารด้วยส่วนสูง2)
    – ผู้หญิง เอวไม่ควรเกิน 32 นิ้ว (ผู้ชาย เอวไม่เกิน 36 นิ้ว)
  • ออกกำลังน้อย (ควรออกกำลังกายวันละ 30 นาทีอย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์)
  • ความดันโลหิตสูง

คุมความดันโลหิตห่างไกลโรค

วิธีการหลีกเลี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมองทำได้โดยการควบคุมระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ โดยค่าความดันโลหิตปกติเท่ากับ 120/80 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งผู้หญิงควรจดจำทั้งค่าปกติและค่าความดันโลหิตของตนเอง โดยปัจจัยที่ทำให้ค่าความดันโลหิตสูงผิดปกติ ได้แก่ การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ ภาวะทุพโภชนาการ และออกกำลังกาย การออกกำลังกายน้อยหรือไม่ออกกำลังกายมีผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้

ป้องกันรักษาก่อนสาย

  • ควบคุมความดันโลหิต
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • งดดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

“การตรวจสุขภาพเป็นประจำคือวิธีที่ดีที่สุดในการลดปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง

ความเสี่ยงสำหรับผู้หญิง

แม้ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองของทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะไม่ต่างกันมากนัก แต่ผู้หญิงจะมีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษในช่วงที่ตั้งครรภ์ เพราะความดันโลหิตจะสูงกว่าปกติ นอกจากนี้ผู้หญิงที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน รวมทั้งผู้ที่เคยรับประทานยาคุมกำเนิด ยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ระวังโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่นั้นเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งก็มีความอันตรายเป็นอย่างมาก โดยวันนี้ทางเราก็ได้หยิบยกเอาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาฝากกัน เพื่อจะได้ระมัดระวังกันมากขึ้น ว่าแต่มีโรคอะไรบ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลย

1.โรคติดเชื้อ HPV
HPV เป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อ Human Papilloma Virus ที่มีมากกว่า 100 ชนิด โดยเชื้อตัวนี้จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ส่วนต่างๆ ได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย ตัวอย่างโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย และมะเร็งที่ทวารหนัก เป็นต้น

2.เอดส์
โรคเอดส์จัดว่าเป็นโรคที่อันตรายมาก สามารถพรากชีวิตคนได้เลยทีเดียว ซึ่งเอดส์เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า HIV โดยเชื้อนี้จะเข้าไปทำลายในส่วนของเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนไม่สามารถที่จะต้านเชื้อโรคที่เข้ามาได้ และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด ยกตัวอย่างเช่น วัณโรค ปอดบวม การติดเชื้อในระบบโลหิต ฯลฯ

3.เริมที่อวัยวะเพศ
โรคเริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า HSV เป็นเชื้อที่แฝงตัวอยู่ที่ปมประสาทในส่วนของการรับความรู้สึกและเมื่อร่างกายอ่อนแอ ก็จะแสดงอาการออกมาทันที ซึ่งก็เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกหนึ่งโรคที่น่ากลัวมาก เนื่องจากผู้ป่วยเองจะได้รับเชื้อโดยไม่รู้ตัวและสามารถที่จะนำไปแพร่เชื้อให้กับคู่นอนได้ง่ายอีกด้วย

4.หูดหงอนไก่
โรคหูดหงอนไก่จะมีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลนูนหนา คล้ายดอกกะหล่ำ เป็นติ่งเนื้ออ่อนๆ ขึ้นมาอุดกั้นช่องคลอด ทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะ โดยโรคนี้เป็นโรคที่สามารถที่จะรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเช่นกัน หากไม่ดูแลตัวเองให้ดี

5.ไวรัสตับอักเสบบี
โรคนี้เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนที่เป็นพาหะที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแฝงอยู่ในร่างกายจะไม่มีอาการแสดงออกมา จึงมีโอกาสที่จะแพร่กระจายไปสู่คนอื่นได้ง่ายที่สุด แต่ก็มีบางคนที่แสดงออกมาเช่นกัน โดยจะมีอาการเพลีย เบื่ออาหาร ปวดท้อง ตัวเหลือง ตาเหลือง มีปัสสาวะสีเข้ม ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีอย่างทันเวลา ก็อาจเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

6.หูดข้าวสุก
หูดข้าวสุก เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสเชื้อ โดยเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคนี้ก็คือ poxviridae ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้ไม่ได้เข้าสู่ร่างกายทางกระแสเลือดหรือระบบประสาทแต่อย่างไร จึงทำให้ผู้ที่ติดเชื้อหูดข้าวสุก ไม่แสดงอาการออกมามากนัก นอกจากอาการไข้อ่อนๆ เท่านั้น

และนี่ก็คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อไวรัสนั่นเอง ซึ่งก็มีความอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นควรมีเพศสัมพันธ์ด้วยการป้องกันโดยการสวมถุงยางเสมอ และควรมีคู่นอนเพียงคนเดียวเท่านั้น แล้วคุณจะห่างไกลจากโรคร้ายเหล่านี้

กระดูกสันหลังคด เกิดจากอะไร

กระดูกสันหลังคดเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่

1. กระดูกสันหลังคดโดยไม่ทราบสาเหตุ พบในเด็กที่กระดูกสันหลังมีความผิดปกติ โดยมีความคดมากน้อยแตกต่างกัน อาจสังเกตเห็นด้วยตาจากลักษณะภายนอกหรืออาศัยการเอกซเรย์ มีความเสี่ยงในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย

วิธีการรักษา แพทย์จะพิจารณาจากอายุ มุมของกระดูกสันหลังที่คด ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะกระดูกหยุดเจริญแล้วหรือยัง เพื่อดูโอกาสของกระดูกสันหลังที่จะหยุดคดเพิ่ม เช่น ผู้หญิงที่เริ่มมีประจำเดือน โดยแพทย์จะทำการตรวจเอกซเรย์เพื่อ วัดมุมการคด (ค่ามุมการคด) ที่จำเป็นต้องรักษา

โดยการพิจารณาการรักษาจะทำเพื่อป้องกันภาวะกระดูกคดไม่ให้เพิ่มขึ้น หรือแก้ไขภาวะคดจะทำในกรณีที่ประเมินแล้วพบว่า กระดูกยังไม่หยุดเจริญ ถ้าหากปล่อยไว้กระดูกสันหลังจะคดเพิ่มขึ้นจนมีค่ามุมเกินค่าที่ยอมรับได้ และแก้ไขในกรณีค่ามุมการคดเกินกว่าค่าที่ยอมรับได้ (โดยไม่ต้องดูอายุ) ในบางกรณีมุมการคดไม่มาก แต่ต้องการผ่าตัดอาการคดเพื่อความสวยงาม อาจเริ่มการรักษาโดยไม่ผ่าตัดในกรณีผู้ป่วยอายุน้อยสามารถสวมกายอุปกรณ์คัดลำตัว แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยมีมุมการคดมาก จำเป็นต้องเลือกการผ่าตัดเพื่อแก้ไขการคด เชื่อมกระดูกสันหลัง และดามโลหะ

2. กระดูกสันหลังคดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง จะมีอาการกระดูกสันหลังคดตั้งแต่เด็ก แต่จะรุนแรงมากกว่าและมีอาการทางระบบประสาท เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงร่วมด้วย โดยผู้ที่มีความเสี่ยงคือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นกระดูกคด แต่ก็สามารถเกิดในรายที่ไม่มีประวัติครอบครัวได้เช่นกัน

วิธีการรักษา เนื่องจากกระดูกสันหลังคดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง มีความซับซ้อนในการรักษามาก แพทย์ส่วนใหญ่จำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไข เพื่อลดภาวะความผิดปกติของระบบประสาท

3. กระดูกสันหลังคดจากความเสื่อมของกระดูกสันหลัง พบมากในผู้สูงอายุที่มีภาวะข้ออักเสบ ข้อกระดูกหลังเสื่อม กระดูกพรุน

วิธีการรักษา แพทย์จะทำการแก้ไขภาวะกระดูกคดร่วมกับแก้ไขภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น การกดทับรากประสาท

การป้องกันกระดูกสันหลังคอทำได้หรือไม่อย่างไร

การป้องกันกระดูกสันหลังคดโดยไม่ทราบสาเหตุ และกระดูกสันหลังคดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางจะไม่สามารถป้องกันได้ เพียงแต่แพทย์สามารถให้การวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ ได้ ดังนั้นหากสังเกตเห็นโดยเร็วจะส่งผลดีต่อการรักษา ส่วนกระดูกสันหลังคดจากความเสื่อมของกระดูกสันหลังนั้น การป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังเสื่อมที่ดีที่สุดคือ ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใช้หลังและกระดูกสันหลังในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม รวมถึงป้องกันภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงวัย